เสริมหน้าอก
การศัลยกรรมหน้าอกมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น การทำนมด้วยซิลิโคน เติมไขมันหน้าอก และการเสริมแบบไฮบริด ซึ่งการทำนมทั้ง 3 แบบนี้ มีความแตกต่างในเรื่องของการขั้นตอนการผ่าตัดและความสามารถในการเพิ่มขนาดหน้าอก
1. เทคนิคทำนมด้วยซิลิโคน
การเสริมด้วยการใช้ซิลิโคนหน้าอกเพิ่มขนาดและเปลี่ยนรูปทรงของหน้าอกให้เป็นแบบที่ต้องการ สามารถเพิ่มขนาดของหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นได้ตามปริมาณ CC ของซิลิโคน เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกหลายไซซ์ในครั้งเดียว ช่วยให้หน้าอกเต่งตึง มีรูปทรงที่สวยงามขึ้นอย่างชัดเจน
2. เทคนิคเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง
เป็นวิธีเพิ่มขนาดหน้าอกที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ด้วยการดูดไขมันส่วนเกินออกมาและนำมาเติมบริเวณรอบหน้าอกอีกที ช่วยเพิ่มเนินหน้าอก ทำให้หน้าอกดูสวย อิ่มเอิบ อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าอกไม่มาก หรือ คนที่ต้องการทำหน้าอกแบบธรรมชาติ
3. เทคนิคทำนมแบบไฮบริด (ซิลิโคน+ฉีดไขมัน)
การทำแบบไฮบริด (Hybrid Dual Plane) คือการผสานทั้งเทคนิคการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนและเติมไขมันหน้าอกเข้าไปด้วยกัน จึงมีข้อดีทั้งในเรื่องของการเพิ่มขนาดหน้าอกและยังช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับหน้าอกได้อีกด้วยครับ ในปัจจุบันหลายคนจึงหันมาเสริมนมแบบไฮบริดกันมากขึ้น
เลือกขนาดหน้าอกยังไงให้ดูสวย ทำกี่ CC ดี
ขนาดของ cc ซิลิโคน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อขนาดหน้าอกหลังเสริมอย่างมาก ซึ่งควรเลือก cc ที่เหมาะกับรูปร่างและเนื้อหน้าอกเดิม เพื่อให้รูปร่างโดยรวมมีความสมดุลกัน โดยปริมาณของ cc หน้าอกจะมีให้เลือกตั้งแต่ 200cc – 500cc
เทคนิคการวางซิลิโคนศัลยกรรมหน้าอก
การวางซิลิโคนที่ศัลยแพทย์นิยมทำกันจะมี 3 เทคนิคด้วยกันดังนี้
1.เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular Plane)
การวางซิลิโคนในตำแหน่งเหนือกล้ามเนื้อขึ้นมา ทำให้จัดทรงได้ง่าย หน้าชิดสวย เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกเยอะและมีปัญหาหน้าอกห่าง ซึ่งการทำนมด้วยวิธีวางซิลิโคนรูปแบบนี้จะใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน แต่ก็อาจมีผลเสียในเรื่องของการเกิดพังผืดในอนาคต และปัญหานมแผดในอนาคตได้ง่าย รวมทั้งปัญหาเห็นขอบซิลิโคนที่เด่นชัดขึ้นมาได้
2.เสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Plane)
การวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular Plane) เหมาะกับคนที่เนื้อหน้าอกน้อย ซิลิโคนจะคอยดันให้หน้าอกดูเด้งเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย หน้าอกจะดูกระชับ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาผิวคลื่น มีโอกาสที่หน้าอกจะผิดรูป เกิดพังผืด หน้าอกแข็งน้อยกว่า แต่การศัลยกรรมหน้าอกใต้กล้ามเนื้อจะรู้สึกเจ็บมากกว่า ใช้เวลาในการพักฟื้นมากกว่า และต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
3.เสริมหน้าอกกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ (Dual Plane)
การซิลิโคนแบบกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ (Dual Plane) เป็นการเสริมแบบกึ่งเหนือกล้ามเนื้อ กึ่งใต้กล้ามเนื้อ (ระหว่างกล้ามเนื้อ) เรียกได้ว่าเป็นเทคนิคที่รวมข้อดีของการเสริมหน้าอกทั้งสองแบบไว้ด้วยกัน ซึ่งซิลิโคนส่วนบนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อ ส่วนซิลิโคนส่วนล่างจะอยู่เหนือกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เห็นขอบซิลิโคนบริเวณเนินหน้าอก ส่วนล่างมีความคล้อย โค้งมน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเทคนิคนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก
ทรงซิลิโคนทำนม ทรงกลม VS ทรงหยดน้ำ แบบไหนสวยที่สุด
ปทรงของซิลิโคนที่นิยมใช้จะมี 2 แบบด้วยกันคือ ซิลิโคนทรงกลม และ ซิลิโคนทรงหยดน้ำ ซึ่งซิลิโคนหน้าอกแต่ละทรง จะเหมาะกับสาว ๆ ที่มีปัญหาต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป
1.ซิลิโคนทรงกลม
ซิลิโคนหน้าอกทรงกลม (Round Breast Implant) ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มหน้าอกให้อึ๋ม นูน กลม ไม่มีปัญหาซิลิโคนเปลี่ยนทรง สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการอัพไซซ์ใหญ่ เหมาะกับคนที่มีเนื้อหน้าอกเยอะ มีฐานหน้าอกที่กว้าง คนที่ต้องการอัพไซซ์ใหญ่หลายไซซ์
2.ซิลิโคนทรงหยดน้ำ
ซิลิโคนหน้าอกทรงหยดน้ำ (Teardrop Breast Implant) การทำหน้าอกทรงหยดน้ำ เหมาะกับคนที่ต้องการหน้าอกแบบธรรมชาติ ไซซ์ไม่ใหญ่ มีเนื้อหน้าอกน้อย และมีความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หลังทำหน้าอกจะคล้อยลงเหมือนทรงหน้าอกธรรมชาติ
ผิวของซิลิโคนเสริมหน้าอก แต่ละแบบต่างกันอย่างไร
ผิวของซิลิโคนในปัจจุบันมีให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน แตกต่างกันอย่างไรและเหมะกับใครบ้าง
1.ซิลิโคนผิวเรียบ (Smooth)
ข้อดี : มีความโดดเด่นที่ความบาง เรียบเนียน และสัมผัสนิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายต่อการวางซิลิโคนระหว่างผ่าตัด ทำให้ไม่เกิดการอักเสบมากเกินไป หลังทำจึงพักฟื้นน้อยลง นอกจากนี้ซิลิโคนผิวเรียบจะมีโอกาสเกิดริ้วน้อยกว่าซิลิโคนผิวทราย
ข้อเสีย : มีโอกาสเกิดพังผืดได้มากกว่าผิวอื่น ๆ และต้องอาศัยการนวดหน้าอกบ่อย ๆ เพื่อให้หน้าอกมีความนิ่มและเป็นธรรมชาติ
2.ซิลิโคนผิวทราย
ข้อดี : ถูกออกแบบมาเพื่อลดปัญหาการเคลื่อนตำแหน่งของซิลิโคน เนื่องจากผิวทรายจะช่วยยึดกับเนื้อเยื่อรอบ ๆ ซิลิโคน ทำให้ซิลิโคนไม่เคลื่อนที่ไปมาและติดแน่นอยู่กับตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ซิลิโคนผิวทรายยังมีโอกาสเกิดพังผืดรอบเต้านมน้อยกว่าซิลิโคนผิวเรียบ
ข้อเสีย : คือราคาจะแพงขึ้นกว่าการเสริมด้วยซิลิโคนผิวเรียบ
3.ซิลิโคนผิวกำมะหยี่
ข้อดี : ซิลิโคนผิวกำมะหยี่ (SmoothSilk) จะเป็นกึ่งเรียบกึ่งทราย เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Motiva มีความนิ่ม และเป็นธรรมชาติมาก โอกาสที่จะเกิดพังผืดน้อย แถมไม่จำเป็นต้องนวดหน้าอกบ่อย ๆ ด้วยครับ ทำให้การเสริมด้วยซิลิโคนผิวกำมะหยี่มาแรงกว่าแบบอื่นไปโดยปริยาย
ข้อเสีย : ราคาสูง
เสริมหน้าอกที่ไหนดีสุด
1.เสริมหน้าอกโดยศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการ
2.เสริมหน้าอกกับคลินิกที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน มีใบรับรองจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ
3.เสริมหน้าอกในห้องผ่าตัดคลีนรูม Positive Pressure
4.เลือกใช้ซิลิโคนจะต้องเป็นเกรดมาตรฐาน และมีการรับรองคุณภาพของซิลิโคนจาก อย.
5.การดูแลอาการหลังการผ่าตัด หรือ After Care การดูแลในเรื่องของแผลและติดตามอาการต่าง ๆ
ตำแหน่งและรอยแผลหลังเสริมหน้าอก
แผลหลังทำหน้าอกซิลิโคนจะมีอยู่ 3 บริเวณคือ ใต้ราวนม, รักแร้ และรอบปานนม
1.ใต้ราวนม
เป็นตำแหน่งที่นิยมมากที่สุด เพราะเจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน และมองเห็นแผลยาก
2.รักแร้
ส่วนบริเวณรักแร้ก็นิยมไม่แพ้กัน เนื้อจากเป็นตำแหน่งที่มีปัญหาแผลคีลอยด์น้อยที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปก็จะไม่เห็นแผลเหลืออยู่เลย แต่มีข้อเสียคือรู้สึกเจ็บกว่า และดูแลตัวเองยากกว่าวิธีอื่น ๆ
3.รอบปานนม
แผลรอบปานนม ไม่นิยมมากนักเนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดซิลิโคนที่ใส่ เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมซิลิโคนขนาดเล็ก ส่วนเคสที่มีการเติมไขมันหน้าอก จะมีแผลขนาดเล็กเท่าหัวปากกาบริเวณหน้าอก และแผลบริเวณที่ดูดไขมันออกมา (4 มิลลิเมตร)
การตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก
1.ปรึกษาแพทย์ แจ้งประวัติส่วนตัว ปัญหาสุขภาพ เพื่อประเมินร่างกาย วางแผนการทำหน้าอก
2.ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ควบคู่ไปกับตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อดูความผิดปกติของหน้าอก
3.งดยาบางชนิดและวิตามินต่าง ๆ ก่อนเสริมหน้าอก 1 สัปดาห์
4.งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ ก่อนเสริมหน้าอก 1 สัปดาห์
5.แนะนำให้ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ก่อนเสริมหน้าอก 1 เดือน
6.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
7.งดดื่มหรือกินอาหารทุกชนิด ก่อนทำศัลยกรรมอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
8.สวมเสื้อผ้าสบาย ๆ มีกระดุมหน้า และนัดหมายเพื่อนหรือญาติ เพื่อพากลับบ้านหลังทำเสร็จ
9.ไม่แต่งหน้า ทาครีม และสวมเครื่องประดับทุกชนิด รวมถึงฟันปลอมด้วย
ตัดเล็บให้สั้น และล้างสีเล็บ 1 นิ้ว เพื่อให้วิสัญญีแพทย์สังเกตอาการระหว่างการผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอก
1.หลังเสริมหน้าอกแรก ๆ ไม่ควรขยับตัวมาก เนื่องจากร่างกายเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาก จึงมีความเจ็บมาก
2.ท่านอนหลังเสริมหน้าอกที่ถูกต้อง คือการนอนหงาย ไม่ควรนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง
3.ทำความสะอาดแผลทุกวัน และงดอาบน้ำ ให้เช็ดตัวแทน จนกว่าแผลจะแห้ง (5-7 วัน)
4.พันผ้าที่แพทย์พันไว้ให้หลังเสริมหน้าอก ตลอดเวลา 2 สัปดาห์
5.ใส่ซัพพอร์ตบราหลังเสริมหน้าอก เพื่อพยุงหน้าอกไว้
6.นวดหน้าอกตามแพทย์แนะนำ (การนวดหน้าอกขึ้นอยู่กับซิลิโคนที่เลือก)
7.งดอาหารแสลง อาหารที่ไม่สะอาด อาหารทะเล และอาหารหมักดอง 1 เดือน
8.งดดื่มเหล้าและงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้แผลหายช้า 1 เดือน
9.งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, นม และน้ำอัดลมในช่วงแรก เพราะอาจทำให้ไม่สบายท้องได้
10.กินยาตามที่แพทย์ให้ไป เพื่อบรรเทาอาการหลังเสริมอก
11.หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพื่อลดอาการบวม อักเสบ และความเจ็บ 1 เดือน
นอนหงายหน้าประมาณ 1 เดือน เพราะการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ อาจทำให้ซิลิโคนผิดรูปได้
12.งดมีเพศสัมพันธ์ หรือบีบจับหน้าอก 1 สัปดาห์ เพราะหน้าอกอาจบาดเจ็บได้ และเพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของสิริโคนหน้าอก
13.พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
14.ทายาหรือทาครีมลดรอยแผลเป็น เพื่อป้องกันการเกิดแผลคีลอยด์
เข้ามาติดตามผลการรักษากับแพทย์ และรับบริการ After Care ตามนัดหมายเป็นประจำ
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังเสริมหน้าอก
1.อาการบวมช้ำหลังทำ (มากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
2.หน้าอกดูสูงกว่าปกติ เป็นเรื่องปกติที่พบได้ หน้าอกจะค่อย ๆ ต่ำลง
3.หลังจากที่ฟื้นจากการดมยาสลบ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
4.กล้ามแขนอาจจะไม่มีแรงได้บ้าง จึงต้องมีทำการบริหารกล้ามเนื้อแขนด้วย
5.อาการชา แสบร้อน บริเวณหัวนม และส่วนล่างของหน้าอก (หายได้เองภายในสองปี)
6.อาการเจ็บ ๆ เสียว ๆ ประมาณสองเดือนแรก
รีวิเสริมหน้าอก
Q&A
Q : เสริมหน้าอก อยู่ได้นานแค่ไหน
A : อายุของการเสริมหน้าอกสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่การเทคนิคการผ่าตัด ซิลิโคนที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด
Q : เสริมหน้าอกแบบไหนดีที่สุด
A : การเลือกเสริมในแบบที่เหมาะกับสรีระเดิมที่สุด เช่น ในเคสที่ตัวเล็ก เนื้อน้อย ควรเสริมหน้าอกซิลิโคน 200cc-300cc จะเป็นขนาดที่เหมาะสมมากกว่าเสริม 400cc แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความชอบและความพอใจของผู้ที่สนใจเสริมหน้าอกด้วย
Q : ผลข้างเคียงหลังเสริมหน้าอกมีไหม
A : อาจมีข้างเคียง อาทิ อาการปวด ระบม บวมช้ำ และมีรอยแผลหลังการผ่าตัด ซึ่งอาการข้างเคียงดังกล่าวจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปหลังการผ่าตัด 1-3 เดือน
Q : หลังเสริมหน้าอกกี่เดือนใส่เสื้อชั้นในได้
A : หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว สามารถใช้เสื้อชั้นในแบบปกติได้ตามต้องการ แต่ควรเลือกเสื้อชั้นในที่เหมาะกับขนาดและรูปทรงของหน้าอกใหม่ เพื่อให้หน้าอกดูสวยงามและมั่นใจ
Q : เสริมหน้าอกมา ควรนอนท่าไหน
A : หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะแนะนำให้นอนหงายเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณแผลผ่าตัดและป้องกันการเคลื่อนตัวของซิลิโคน
Q : หลังเสริมหน้าอกห้ามยกของหนักไหม
A : หลีกเลี่ยงการยกของหนักเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากอาจทำให้แผลผ่าตัดปริ หรือทำให้ซิลิโคนเคลื่อนตัวได้
Q : หลังเสริมหน้าอกกี่วันแผลหาย
A : แผลผ่าตัดเสริมหน้าอกจะหายสนิทภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่อาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพร่างกายของผู้ทำศัลยกรรม วิธีการเสริมหน้าอก ตำแหน่งที่วางซิลิโคน นอกจากนี้การทำเลเซอร์รอยแผลสามารถช่วยให้แผลผ่าตัดจางลงเร็วมากขึ้น