ฟิลเลอร์หน้าผาก คืออะไร
การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก คือ การฉีดสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูรอนิก Hyaluronic Acid เข้าไปบริเวณหน้าผาก มักจะไม่ใช่จุดแรกที่หมอแนะนำในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้า เนื่องจากต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์หลาย cc เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน
สำหรับคนที่มีปัญหาหน้าผากแบน ทำให้หน้าดูโทรม ไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไข สำหรับคนที่ไม่อยากผ่าตัด ช่วยให้หน้าผากเป็นทรง เข้ารูปกับใบหน้ามากขึ้น เมื่อเทียบกับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตา-ร่องแก้ม ที่ใช้ 1-2 cc จะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากกว่า
การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก เหมาะกับใคร
1.เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ
2.มีร่องลึก รอยบุ๋มที่หน้าผาก
3.อยากเสริมโหงวเฮ้งหน้าผาก
ฟิลเลอร์หน้าผาก สลายได้ไหม
ฟิลเลอร์แท้ Hyaluronic Acid เมื่อฉีดแล้วจะสลายไปเองตามธรรมชาติ แล้วแต่ระยะเวลาของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ถ้าหากอยากได้ความรวดเร็ว ก็สามารถสลายได้โดยใช้ เอนไซม์ Hyaluronidase ละลายออกได้หมด 100% ทำให้ผิวกลับคืนสภาพเดิมได้
ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม
ฟิลเลอร์หน้าผาก และ ฟิลเลอร์ขมับ เป็นจุดที่อันตรายมากถ้าฉีดโดยแพทย์ที่ไม่ชำนาญ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่เชื่อมไปยังลูกตาได้โดยตรงและการฉีดต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์ในแต่ละจุดค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง แพทย์ที่มีประสบการณ์และฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ก็มีความปลอดภัย 100%
ข้อดีและข้อควรระวัง ของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
ข้อดี
1.ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ใช้เวลาทำไม่นาน
2.เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด เห็นผลชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์
3.สามารถเพิ่ม-ลด ความนูน ออกแบบได้ตามต้องการ
4.ใช้ฟิลเลอร์แท้อยู่ได้ 1 ปี และทยอยเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ
5.หากต้องการแก้ไขก็สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
ข้อควรระวัง
1.ฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร จะสลายไปเองตามธรรมชาติ
2.ในการฉีด 1 ครั้ง ไม่ควรใช้ฟิลเลอร์หน้าผากเกิน 5 cc
3.ต้องฉีดด้วยฟิลเลอร์แท้เท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
4.ถ้าฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ มีความเสี่ยงจะเกิดอันตรายได้
ข้อควรรู้ หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ควรนอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคง ต้องระวังไม่ให้เกิดการกดทับบริเวณหน้าผากที่ฉีดฟิลเลอร์มา ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ กลมกลืนไปกับเนื้อเยื่อปกติของผิวและมีความคงตัวมากขึ้น
หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะมีอาการบวมได้เป็นปกติ และจะหายไปเองใน 7-14 วัน สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
1.ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย และปรับโครงสร้างใบหน้า
2.เห็นผลทันที ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น
3.มีความปลอดภัย ได้รับการรับรองจากอย. ไม่ทำให้เกิดการแพ้ ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย
4.สามารถเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ หรือฉีดสลายออกโดยไม่เป็นอันตราย
5.แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำ ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
6.ใช้แก้ปัญหาในจุดที่ต้องการความละเอียดสูงได้ดี เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม
ข้อปฏิบัติตัวที่ควรรู้ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์
1.ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การเลือกแพทย์ เทคนิคในการทำ วิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจ
2.ยาและวิตามินบางชนิดที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์ แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
3.งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
4.งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
5.หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
6.แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
7.สามารถแจ้งเพื่อขอแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
1.ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ประเมินปัญหาที่ต้องการแก้ไข
2.แพทย์แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณที่เหมาะสม กับจุดที่จะฉีด
3.ทำความสะอาดใบหน้า หากแต่งหน้ามาก็จะมีการเช็คเครื่องสำอางในจุดที่ฉีดออก
4.ก่อนฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะต้องแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า สามารถข้อตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้
5.ประคบน้ำแข็ง เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม ส่วนในเนื้อฟิลเลอร์จะมียาชาผสมอยู่แล้ว
6.เมื่อฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลตัวเองต่าง ๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็ว และอยู่ได้นานขึ้น
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
1.หลีกเลี่ยงการแตะ แกะ เกาและกดนวดในจุดที่ฉีด อาจมีอาการบวมแดงหรือเขียวช้ำเป็นปกติ จะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน (หากหลังจาก 3 วันไปแล้ว มีอาการบวมมากขึ้นให้ติดต่อกลับมาที่คลินิกเพื่อรับยากินเพิ่ม)
2.หากก่อนทำไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบกินยาฆ่าเชื้อทันที นอกจากนี้ยังมียาแก้ปวด ลดบวมกลับไปให้ทานด้วย
3.ควรอยู่ในที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดงอย่างน้อย 48 ชม. เช่น ซาวน่า ออกกำลังกายหนัก ตากแดด
4.ให้งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิดอย่างน้อย 1 เดือน
5.อย่าขยับผิวในจุดที่ทำมากโดยเฉพาะช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนได้
6.ควรงดทานอาหารบางอย่างที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวมและทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า ดังนี้
– งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
– งดอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ หมูกระทะ ชาบู
– งดอาหารหมักดอง อาหารที่เผ็ดมาก ๆ จนหน้าแดง อาหารหวานจัดและอาหารดิบจากร้านที่ไม่สะอาด
7.งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้าและส่งผลการรักษาอยู่ได้สั้นลงด้วย
ข้อแนะนำการเลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย
1.เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาติถูกต้องและดำเนินงานโดยแพทย์เท่านั้น
2.แพทย์ต้องมีประสบการณ์ สามาถตรวจสอบในเว็บไซต์ของแพทยสภาได้ https://checkmd.tmc.or.th/
3.ต้องใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์ปลอมเป็นอันตราย ควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้เบื้องต้นไว้เพื่อความมั่นใจ
Q&A
Q : ฉีดฟิลเลอร์ ปลอดภัยไหม
A : ฉีดฟิลเลอร์ ปลอดภัยและไม่อันตราย หากเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
Q : ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด
A : ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนที่เหมาะกับทุกจุดบนใบหน้า ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ มีหลายรุ่น แต่ละจุดที่ฉีดก็เหมาะกับเนื้อฟิลเลอร์ที่แตกต่างกันไป แพทย์ที่ทำการฉีดจะต้องประเมินว่าคนไข้แต่ละคนมีปัญหาตรงจุดไหน และเลือกฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Q : ฉีดฟิลเลอร์ บวมไหม กี่วันเห็นผล
A : หลังฉีดฟิลเลอร์ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันที อาการบวมจะหายไปเองได้ใน 7 – 14 วัน และรอประมาณ 2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จึงจะยุบบวมเข้าที่และเห็นผลชัดเจน